เวียนนา (Vienna) เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศออสเตรีย มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ต่อไปนี้เป็นประวัติความเป็นมาของเวียนนา:

ยุคโบราณ

– การก่อตั้งและอาณาจักรโรมัน: เวียนนาเริ่มต้นจากการเป็นนิคมชาวเคลต์ที่ชื่อว่า “เวดา” (Vedunia) ในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 1 หลังคริสตกาล อาณาจักรโรมันได้เข้ามายึดครองและก่อตั้งเมืองที่ชื่อว่า “วินโดโบนา” (Vindobona) เป็นฐานทัพที่สำคัญในการป้องกันการโจมตีจากเผ่าต่างๆ ในยุโรปกลาง

 

 ยุคกลาง

– ยุคของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์: ในศตวรรษที่ 12 เวียนนาเริ่มเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในฐานะเมืองการค้าภายใต้การปกครองของราชวงศ์บาเบนแบร์ก (Babenberg) ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1278 กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก (Habsburg)

 

 ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาและบาโรก

– ยุคทองของศิลปวัฒนธรรม: ในศตวรรษที่ 16 และ 17 เวียนนากลายเป็นศูนย์กลางทางศิลปะและวัฒนธรรมที่สำคัญ มีการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมในสไตล์บาโรก และการก่อสร้างพระราชวังที่งดงาม เช่น พระราชวังเชินบรุนน์ (Schönbrunn Palace)

 

ยุคแห่งการปฏิวัติและสงครามนโปเลียน

– สงครามนโปเลียน: ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เวียนนาถูกยึดครองโดยนโปเลียนสองครั้ง (ปี ค.ศ. 1805 และ 1809) แต่ก็สามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังจากสงครามสิ้นสุดลง

 

ยุคจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี

– จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี: ในปี ค.ศ. 1867 จักรวรรดิออสเตรียเปลี่ยนเป็นจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และเวียนนากลายเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง

 

ยุคสมัยใหม่

– สงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง: เวียนนาประสบกับความยากลำบากในช่วงสงครามโลกทั้งสองครั้ง โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเมื่อจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีล่มสลาย

– การฟื้นฟูหลังสงคราม: หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เวียนนาอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายพันธมิตรจนถึงปี ค.ศ. 1955 และหลังจากนั้นกลายเป็นเมืองหลวงของออสเตรียที่เป็นกลางทางการเมือง (Neutral)

 

 ยุคปัจจุบัน

– ศูนย์กลางนานาชาติ: ในยุคปัจจุบัน เวียนนาเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN) และองค์การพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ทำให้เวียนนามีบทบาทสำคัญในเวทีโลก

เมืองเวียนนา  ประเทศออสเตรีย เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่หลากหลายและมีความสำคัญอย่างมากในยุโรป โดยมีสถาปัตยกรรมที่สวยงามและศิลปะที่รุ่งเรืองเป็นเอกลักษณ์ 

สำหรับเมืองเวียนนา ประเทศออสเตรีย มีด้วยกันทั้งหมด 4 ฤดู ได้แก่

1. ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม – พฤษภาคม) อุณหภูมิ: ประมาณ 5°C – 15°C
2. ฤดูร้อน (มิถุนายน – สิงหาคม) อุณหภูมิ: ประมาณ 15°C – 25°C
3. ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – พฤศจิกายน) อุณหภูมิ: ประมาณ 10°C – 20°C
4. ฤดูหนาว (ธันวาคม – กุมภาพันธ์) อุณหภูมิ: ประมาณ -1°C – 5°C

 

สนับสนุนเรื่องราวนี้โดย      โปรตีนจากพืช ลดน้ำหนัก ยี่ห้อไหนดี

ปัจจุบันไม่ว่าจะจะมองไปทางไหน เรามักจะเห็นคนนำต้นไม้และดอกไม้มาปลูกตกแต่ง มาดูกันว่าเหตุผลที่คนนิยมปลูกดอกไม้ต้นไม้นั้น มีเหตุผลอะไรบ้าง

1. เพิ่มความสวยงามและสร้างบรรยากาศที่ดี: สวนที่มีพืชพรรณเขียวขจีและดอกไม้สวยงามช่วยเพิ่มความงดงามให้กับบ้าน และสร้างบรรยากาศที่ดี ทำให้พื้นที่รอบบ้านดูสดชื่นและน่าอยู่มากขึ้น
2. การผ่อนคลายและลดความเครียด: การอยู่ในธรรมชาติและดูแลพืชพรรณสามารถช่วยลดความเครียดและสร้างความผ่อนคลายให้กับจิตใจ การทำสวนเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้คนได้พักผ่อนและทำสมาธิ
3. การสร้างสุขภาพที่ดี: การทำสวนเป็นกิจกรรมที่ใช้พลังงาน ช่วยให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวและออกกำลังกาย นอกจากนี้การอยู่ในธรรมชาติยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดี
4. การเรียนรู้และพัฒนาทักษะ: การทำสวนช่วยให้ผู้คนได้เรียนรู้เกี่ยวกับพืชพรรณ การดูแล และการเจริญเติบโตของพืช เป็นการพัฒนาทักษะในการทำสวนและความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ
5. การสร้างพื้นที่สำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง: สวนรอบบ้านเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น การนั่งเล่น การรับประทานอาหาร หรือการเล่นของเด็กๆ
6. การปรับปรุงคุณภาพอากาศ: พืชช่วยกรองอากาศและผลิตออกซิเจน ทำให้บริเวณรอบๆ บ้านมีอากาศที่บริสุทธิ์และสดชื่นมากขึ้น
7. การเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน: บ้านที่มีสวนสวยงามมักมีมูลค่าทรัพย์สินที่สูงขึ้น และเป็นจุดดึงดูดสำหรับผู้ซื้อที่สนใจ

การทำสวนไม่เพียงแต่เป็นการเพิ่มความสวยงามให้กับบ้าน แต่ยังมีประโยชน์ทางสุขภาพและจิตใจอีกด้วย นอกจากนี้    กินโปรตีนทำไมถึงผอม    ยังเป็นกิจกรรมที่สร้างความพึงพอใจและความสุขให้กับผู้ที่ดูแลสวน

การเริ่มต้นทำสวนดอกไม้

1. การวางแผนและการออกแบบสวน: วางแผนว่าจะปลูกดอกไม้ประเภทใดและจัดวางอย่างไร ควรคำนึงถึงความต้องการของดอกไม้แต่ละชนิด เช่น แสงแดด น้ำ และดินที่เหมาะสม
2. การเลือกพืช: เลือกพืชที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ ปลูกดอกไม้ที่มีช่วงเวลาออกดอกแตกต่างกันเพื่อให้สวนมีความสวยงามตลอดทั้งปี
3. การเตรียมดิน: ดินที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเจริญเติบโตของดอกไม้ ควรปรับปรุงดินด้วยการเพิ่มปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเพื่อให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์
4. การปลูกและการดูแล: ปลูกดอกไม้ตามแผนที่วางไว้และให้ความสำคัญกับการดูแลรดน้ำ ใส่ปุ๋ย และควบคุมศัตรูพืช
5. การจัดการสวนอย่างต่อเนื่อง: ตรวจสอบและบำรุงรักษาสวนอย่างสม่ำเสมอ เช่น การตัดแต่งกิ่ง การกำจัดวัชพืช และการเปลี่ยนพืชที่ตายหรือเสียหาย

การทำสวนดอกไม้ไม่เพียงแต่เพิ่มความสวยงามให้กับบ้าน แต่ยังสร้างความสุขและความพึงพอใจให้กับผู้ที่ดูแลด้วย

ความแตกต่างระหว่างวัยเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่และลูก โดยเฉพาะในเรื่องของ “พ่อแม่ขี้บ่น” กับ “ลูกชอบเถียง” การแสดงออกในลักษณะดังกล่าวเป็นผลมาจากความต่างของประสบการณ์ชีวิต, แนวคิด, และมุมมองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งในชีวิตประจำวันและการตัดสินใจ

 

พ่อแม่ขี้บ่น มักเกิดจากความรักและความห่วงใยต่อลูก พ่อแม่มักจะมีประสบการณ์ชีวิตที่มากกว่า จึงเห็นข้อผิดพลาดหรือความเสี่ยงในสิ่งที่ลูกทำได้ง่ายขึ้น

การบ่นจึงเป็นวิธีหนึ่งในการเตือนให้ระวังและหาทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา ซึ่งในมุมของพ่อแม่ การบ่นเป็นการแสดงออกถึงความรักและความเป็นห่วง เพราะพวกเขาอยากให้ลูกปลอดภัยและมีชีวิตที่ดี

 

อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของมุมมองกับลูกที่อยู่ในวัยรุ่นหรือวัยที่เริ่มมีความคิดเป็นของตนเองมักจะมองการบ่นของพ่อแม่ว่าเป็นการควบคุมและการแทรกแซง โดยเฉพาะเมื่อพวกเขารู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่พวกเขาต้องการ หรือไม่ได้ให้ความสำคัญกับความคิดและความรู้สึกของพวกเขา

 

ลูกชอบเถียง เป็นการแสดงออกถึงความต้องการของลูกในการยืนยันตนเองและความคิดส่วนตัว ลูกวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ตอนต้นมักเริ่มพัฒนาความคิดแบบเป็นอิสระจากพ่อแม่ การเถียงเป็นวิธีหนึ่งที่พวกเขาใช้ในการสื่อสารว่า “ฉันมีความคิดเห็นของฉันเอง” การเถียงของลูกอาจเกิดจากความรู้สึกว่าพวกเขาอยากได้รับการยอมรับในความคิดและการตัดสินใจของตนเองมากขึ้น การเถียงยังเป็นการแสดงออกถึงการต้องการเสรีภาพและการควบคุมชีวิตของตนเอง

เมื่อทั้งสองฝ่ายมีมุมมองที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นได้ง่าย พ่อแม่รู้สึกว่าลูกไม่เชื่อฟังและไม่ยอมรับคำแนะนำ ในขณะที่ลูกกลับมองว่าพ่อแม่ไม่ฟังและไม่เข้าใจความต้องการของตนเอง

 

การแก้ไขความขัดแย้งจากความแตกต่างระหว่างวัย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสื่อสารอย่างเปิดเผยและมีความเข้าใจกันระหว่างพ่อแม่และลูก พ่อแม่ควรหาทางสื่อสารให้ลูกเข้าใจว่าการบ่นนั้นมาจากความรักและความห่วงใย ไม่ใช่การควบคุมหรือการบีบบังคับ ในขณะเดียวกัน ลูกก็ควรเรียนรู้ที่จะสื่อสารความคิดและความรู้สึกของตนเองอย่างสงบและสร้างสรรค์ ไม่ใช่ด้วยการเถียงหรือปฏิเสธคำแนะนำของพ่อแม่อย่างดื้อดึง

 

การเปิดพื้นที่ในการสื่อสารที่ทุกฝ่ายสามารถแสดงความคิดเห็นและรับฟังกันอย่างมีเหตุผล จะช่วยลดความขัดแย้งและสร้างความเข้าใจกันมากขึ้น พ่อแม่ควรให้พื้นที่กับลูกในการเรียนรู้จากประสบการณ์ส่วนตัวและทำผิดพลาดบ้าง เพื่อให้พวกเขาเติบโตและพัฒนาความรับผิดชอบของตนเอง ในขณะที่ลูกก็ควรเข้าใจว่าพ่อแม่มีเจตนาดีและอาจมีประสบการณ์ที่สามารถช่วยแนะนำแนวทางที่ดีให้แก่พวกเขาได้

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    หวยดีพลัส